ความหมายของนวัตกรรม
คำว่า "นวัตกรรม" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "innovare" ในภาษาละตินซึ่งแปลว่า
"ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา" (สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ,2547)
ทอมัส ฮิวซ์ (อ้างในบุญเกื้อ
ควรหาเวช, 2542:13) ให้ความหมายของคำว่า “
นวัตกรรม” ว่าเป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ
มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การพัฒนา
(Development) ซึ่งอาจจะเป็นรูปของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน
(Pilot Project) แล้วจึงนำมาปฏิบัติจริง
ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา"
มอตัน (อ้างในบุญเกื้อ
ควรหาเวช, 2542:13) กล่าวว่า "นวัตกรรม หมายถึง การทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง (Renewal) ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงของเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การนั้น
ๆ นวัตกรรมไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงแต่งและพัฒนาเพื่อความอยู่รอดของระบบ"
นอร์ดและทัคเคอร์ (Nord & Tucker, 1987) อธิบายว่า นวัตกรรม
หมายถึงขบวนการเสนอสิ่งใหม่ที่ใหม่อย่างแท้จริงสู่สังคม (Radical
Innovation) โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value), ความเชื่อ (belief), ตลอดจนระบบค่านิยม (value
system) รูปแบบเดิมๆ ของสังคมอย่างสิ้นเชิง
โรเจอร์ส (Rogers, 1983) ได้ให้ความหมายว่านวัตกรรม คือ ความคิดการกระทำ หรือสิ่งที่บุคคลหรือคนกลุ่มหนึ่งยอมรับว่าเป็นสิ่งใหม่
โดยอาจเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์
ไม่ว่าความคิดนั้นจะเป็นสิ่งใหม่นับตั้งแต่เริ่มใช้หรือถูกค้นพบครั้งแรกหรือไม่ก็ตาม
ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลรับรู้ว่าเป็นของใหม่หรือไม่ โดยความเห็นของบุคคลเองจะเป็นผู้ตัดสินการตอบสนองของบุคคลที่มีต่อสิ่งนั้น
ถ้าบุคคลเห็นว่าความคิดนั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับตน ความคิดนั้นก็เป็นนวัตกรรม
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าวว่า "นวัตกรรม หมายถึงวิธีการปฏิบัติใหม่
ๆ ที่แปลกไปจากเดิม โดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่
ๆ
ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น"
ดังนั้นจึงสรุปว่า "นวัตกรรม เป็นการปรับปรุงดัดแปลงวิธีการเดิม หรือนำเอาวิธีการใหม่มาใช้ในกระบวนการดำเนินงานใดๆ แล้วทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิม"
นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3ระยะ คือ
ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation)
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development)
ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป
การประยุกต์ใช้นวัตกรรมในด้านต่างๆ
ในที่นี้จะขอกล่าวคือ นวัตกรรม 5 ประเภท ได้แก่
1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
2. นวัตกรรมการเรียนการสอน
3.นวัตกรรมสื่อการสอน
4. นวัตกรรมการประเมินผล
5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา
ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปอันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ
พอจะสรุปได้ 4 ประการ คือ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ
และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่
การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง
นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น
- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น
(Non-Graded School)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed
Text Book)
- เครื่องสอน (Teaching
Machine)
- การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน
(School within School)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(Computer Assisted Instruction)
2.
ความพร้อม (Readiness) ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้
ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน
ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคนนวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้
เช่น
- ศูนย์การเรียน (Learning
Center)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน
(School within School)
- การปรับปรุงการสอนสามชั้น
(Instructional Development in 3 Phases)
3.
การใช้เวลาเพื่อการศึกษา ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน
บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง
การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น
นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น
(Flexible Scheduling)
- มหาวิทยาลัยเปิด (Open
University)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed
Text Book)
- การเรียนทางไปรษณีย์
4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก
นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น
- มหาวิทยาลัยเปิด
- การเรียนทางวิทยุ
การเรียนทางโทรทัศน์
- การเรียนทางไปรษณีย์
แบบเรียนสำเร็จรูป
- ชุดการเรียน
นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา
นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึง การนำความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทั้งวัสดุ
อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลไก และเทคนิควิธีการต่างๆ มาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เพื่อมุ่งหวังให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียน ผู้ศึกษา
ตามจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของหลักสูตรนั้นๆ
•นวัตกรรมการศึกษา คือ
แนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับการศึกษา
• แพร่หลายในวงการศึกษา
คือ เมื่อแนวคิดใหม่เกิดขึ้นส่งผลให้แพร่หลายในวงการการศึกษา
• เทคโนโลยีการศึกษา
คือ เมื่อแนวคิดใหม่เกิดขึ้นและมีความแพร่หลายย่อมส่งผลให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ
ในการศึกษา
•เกิดปัญหาจากความเปลี่ยนแปลงของการศึกษา
คือ เมื่อเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลให้การศึกษาเปลี่ยนไปจากเดิม
•วิเคราะห์ระบบ คือ
เมื่อรูปแบบการศึกษาเปลี่ยนไปเราต้องมาวิเคราะห์การจัดการศึกษาใหม่ให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นด้วย
•ออกแบบระบบใหม่ คือ
โดยการนำเทคโนโลยีการศึกษามาออกแบบให้เข้ากับการศึกษาของยุคนั้นๆ
•ทดลองใช้ในสังคม คือ
เมื่อออกแบบระบบใหม่แล้วก็ต้องทดลองใช้ในสังคม
สิ่งนั้นนี้เรียกว่านวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษานั่นเอง
ประโยชน์ของนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา
1.ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
2.ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนเป็นรูปธรรม
3.ช่วยให้บรรยากาศการเรียนรู้สนุกสนาน
4.ช่วยให้บทเรียนน่าสนใจ
5.ช่วยลดเวลาในการสอน
6.ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีทางการศึกษาสมัยใหม่ที่ไม่หยุดยั้ง ทำให้วงการศึกษาต้องเปลี่ยนรูปแบบของการดำเนินงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของการเรียนการสอนที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เท่ากันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ดังนั้นจึงทำให้วงการศึกษาเปลี่ยนไปในหลายๆด้าน เช่น
- การใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการสอน
- การใช้ไอซีทีเพื่อบูรณาการการเรียนการสอน
- การเรียนกับธรรมชาติสภาพแวดล้อม
การเรียนรู้เชิงเสมือน
- การเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้สอนและผู้เรียน
- การเปลี่ยนแปลงเป็นสถานศึกษาอิเล็กทรอนิกส์
เทคโนโลยีการศึกษา
ความหมายของเทคโนโลยี
ผดุงยศ ดวงมาลา (2523 : 16) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีว่าปัจจุบันมีความหมายกว้างกว่ารากศัพท์เดิม
คือ หมายถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกล สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ทาง
อุตสาหกรรม ถ้าในแง่ของความรู้ เทคโนโลยีจะหมายถึง
ความรู้หรือศาสตร์ที่เกี่ยวกับเทคนิคการผลิตในอุตสาหกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ
ที่จะเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หรืออาจสรุปว่า เทคโนโลยี คือ
ความรู้ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์เอง
ทั้งในแง่ความเป็นอยู่และการควบคุมสิ่งแวดล้อม
สิปปนนท์ เกตุทัต (ม.ป.ป. 81) อธิบายว่า
เทคโนโลยี คือ การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ มาผสมผสานประยุกต์
เพื่อสนองเป้าหมายเฉพาะตามความต้องการของมนุษย์ด้วยการนำทรัพยากรต่าง ๆ
มาใช้ในการผลิตและจำหน่ายให้ต่อเนื่องตลอดทั้งกระบวนการ
เทคโนโลยีจึงมักจะมีคุณประโยชน์และเหมาะสมเฉพาะเวลาและสถานที่
และหากเทคโนโลยีนั้นสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม
และสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีนั้นจะเกื้อกูลเป็นประโยชน์ทั้งต่อบุคคลและส่วนรวม
หากไม่สอดคล้องเทคโนโลยี นั้น ๆ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมามหาศาล
ธรรมนูญ โรจนะบุรานนท์ (2531 : 170) กล่าวว่า
เทคโนโลยี คือ ความรู้วิชาการรวมกับความรู้วิธีการ
และความชำนาญที่สามารถนำไปปฏิบัติภารกิจให้มีประสิทธิภาพสูง
โดยปกติเทคโนโลยีนั้นมีความรู้วิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วย
นั้นคือวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ เทคโนโลยีเป็นการนำความรู้ไปใช้ในทางปฏิบัติ
จึงมักนิยมใช้สองคำด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเน้นให้เข้าใจว่า
ทั้งสองอย่างนี้ต้องควบคู่กันไปจึงจะมีประสิทธิภาพสูง
จึงสรุปได้ว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึง การนำความรู้ แนวคิด
กระบวนการและผลผลิตทางวิทยาศาสตร์มาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบ
เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาให้ก้าวหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายของนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษา
1. การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ครอบคลุมถึงเรื่องต่างๆ
เช่น
1.1คน
คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งได้แก่ ครู และวิทยากร
1.2วัสดุและเครื่องมือ
1.3เทคนิค-วิธีการ
1.4สถานที่
2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล
คือ การคิด หาวิธีนำเอาระบบการเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้ โดยใช้‘แบบเรียนโปรแกรม’ ซึ่ง ทำหน้าที่สอน
ซึ่งเหมือนกับครูมาสอน
3. การ ใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ
ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา
เป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา
หรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้
4. พัฒนา เครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา
วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา
หรือการเรียนการสอนปัจจุบันจะต้องมีการพัฒนา ให้มีศักยภาพ
หรือขีดความสามารถในการทำงานให้สูงยิ่งขึ้นไป
แนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษา
การทำงานโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้นั้น
เป็นการทำงานโดยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานนั้นๆให้มีผลดีมากยิ่งขึ้นการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้นั้น
ก็ต้องแตกต่างกันไปตามลักษณะของงานแต่ละอย่าง
ซึ่งการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานด้านใด ก็จะเรียกว่าเทคโนโลยีด้านนั้นๆ
เช่น ถ้านำมาใช้ทางด้านการแพทย์ ก็จะเรียกว่า เทคโนโลยีทางการแพทย์
ถ้านำมาใช้ทางด้านการเกษตร ก็จะเรียกว่า เทคโนโลยีทางการเกษตร
ถ้านำมาใช้ทางด้านวิศวกรรม ก็จะเรียกว่า เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
ถ้านำมาใช้ทางด้านการศึกษา ก็จะเรียกว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นต้น
ซึ่งจะเห็นว่า เมื่อมีการใช้เทคโนโลยีในด้านใดก็จะเรียกเทคโนโลยีด้านนั้น
เมื่อมีการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานในส่วนต่างๆของวงการศึกษา
การที่จะศึกษาถึง องค์ประกอบต่างๆในเทคโนโลยีการศึกษา จึงจำเป็นต้อง
ทราบความหมายของคำต่างๆเหล่านี้ให้เข้าใจอย่างชัดเจนเสียก่อน
รวมถึงพัฒนาการระยะต่างๆของเทคโนโลยีการศึกษา เพื่อเป็นการศึกษาถึงความเจริญ
ก้าวหน้าทางด้านนี้ทั้งในด้านวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ
รวมถึงความสำคัญและบทบาทของเทคโนโลยี การศึกษา
ลักษณะของเทคโนโลยีสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ (
process)
2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (product)
3. เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต (process
and product)
เทคโนโลยีทางการศึกษากับการจัดการศึกษา
เทคโนโลยีทางการศึกษาส่งผลโดยตรงกับการจัดการศึกษา
ทำให้ระบบการจัดการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอนมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
สนองในเรื่องความแตกต่างในระดับบุคลที่สามารถใช้เทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูลทางการศึกษาได้
ทั้งยังส่งผลให้มีการจัดการศึกษาที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักวิธีการทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีการพิสูจน์
ทดลองใช้ เพื่อให้ได้มาซึ้งผลสรุปที่ถูกต้องและได้ผลจริง
เพื่อให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา สามารถที่จะเรียนรู้และสืบค้น
ข้อมูลทางการศึกษาได้ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่ทำการศึกษากระตือรือร้นที่จะทำการศึกษาให้ได้มาซึ้งความรู้และความถูกต้องและแท้จริง
ประโยชน์เทคโนโลยีทางการศึกษากับการจัดการศึกษา
1. สามารถทำให้การเรียนการสอนการจัดการศึกษามีความหมายมากขึ้น
2. สามารถสนองเรื่องความแตกต่างแต่ละบุคคลได้
3. สามารถทำให้การจักการศึกษาตั้งอยู่บนรากฐานของวิธีการทางวิทยาศาสตร์
4. ช่วยให้การศึกษามีพลังมากขึ้น
5.สามารถทำให้การเรียนรู้อยู่แค่เอื้อม
6. ทำให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา
สารสนเทศ (Information)
สารสนเทศ (Information) หมายถึง
ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี
การประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ
ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การเก็บข้อมูล การขายรายวันแล้วนำการประมวลผล
เพื่อหาว่าสินค้าใดมียอดขายสูงที่สุด เพื่อจัดทำแผนการขายในเดือนต่อไป เป็นต้น
ซึ่งสารสนเทศมีประโยชน์ คือ
1. ให้ความรู้
2. ทำให้เกิดความคิดและความเข้าใจ
3. ทำให้เห็นสภาพปัญหา
สภาพการเปลี่ยนแปลงว่าก้าวหน้าหรือตกต่ำ
4. สามารถประเมินค่าได้
แนวทางในการจัดทำระบบสารสนเทศ
1. การเก็บรวบรวมข้อมูล
2. การตรวจสอบข้อมูล
3. การประมวลผล
4. การจัดเก็บข้อมูล
5. การวิเคราะห์
6. การนำไปใช้
บทบาทของสารสนเทศ (Role of Information) การนำสารสนเทศไปใช้ 3 ด้าน
ดังนี้
ด้านการวางแผน
ด้านการตัดสินใจ
ด้านการดำเนินงาน นอกจากนั้น สารสนเทศยังมีบทบาท ในเชิงเศรษฐกิจ ดังนี้
1.ช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ
(Decision) หรือช่วยชี้แนวทางในการแก้ไขปัญหา (Problem
Solving)
2.สนับสนุนการจัดการ (Management)
หรือการดำเนินงานขององค์การ ให้มีประสิทธิภาพและเกิด
ประสิทธิผลมากขึ้น
3.ใช้ทดแทนทรัพยากร (Resources)
ทางกายภาพ เช่น กรณีการเรียนทางไกล ผู้เรียนที่เรียนนอกห้องเรียน
จริง สามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆ เช่นเดียวกับ ห้องเรียนจริง
โดยไม่ต้องเดินทางไปเรียนที่ห้องเรียนนั้น
4.ใช้ในการกำกับ ติดตาม
(Monitoring) การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ
เพื่อดูความก้าวหน้าของงาน
5.สารสนเทศเป็นช่องทางโน้มน้าว
หรือชักจูงใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาที่ทำให้ผู้ชม,
ผู้ฟัง ตัดสินใจ เลือกสินค้า หรือบริการนั้น
วิวัฒนาการของสารสนเทศ
อดีตมนุษย์ยังไม่มีภาษาที่ใช้สำหรับการสื่อสาร
เมื่อเกิดมีเหตุการณ์ (Event) อะไร เกิด ขึ้น
ก็ไม่สามารถถ่ายทอด หรือเผยแพร่แก่บุคคลอื่น หรือสังคมอื่นได้ อย่างถูกต้องตรงกัน ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร
จึงมีการคิดใช้สัญลักษณ์ (Symbol) หรือเครื่องหมาย
ทำหน้าที่สื่อ ความหมายแทนเหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีการใช้กฎ และสูตร (Rule
& Formulation) มาใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตุใด
หรือเกิดมาจากสารใดผสมกับสารใด เป็นต้น จากนั้นเมื่อ มนุษย์มีภาษา
สำหรับการสื่อสารแล้ว ก็เกิดมีข้อมูล (Data) เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งจากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอื่นๆ
เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ทำให้ต้องมีการวิเคราะห์ หรือประมวลผล
ข้อมูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
หรือผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคมีการสะสม เพิ่มพูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้
(Learning) จนเกิดความเข้าใจ (Understanding) ก็จะเป็นการพัฒนา สารสนเทศที่มีอยู่ในตนเองเป็นองค์ความรู้ (Knowledge)
เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้ที่มีสติ (สัมปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตุและผล (Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนาความรู้เป็นปัญญา
(Wisdom) ในที่สุด
สารสนเทศที่ดีควรมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้
1.สารสนเทศที่ดีต้องมีความความถูกต้อง
(Accurate) และไม่มีความผิดพลาด
2.ผู้ที่มีสิทธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง
(Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และเวลาที่เหมาะสม
ตาม ความต้องการของผู้ใช้
3.สารสนเทศต้องมีความชัดเจน
(Clarity) ไม่คลุมเครือ
4.สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบูรณ์
(Complete) บรรจุไปด้วยข้อเท็จจริงที่มีสำคัญครบถ้วน
5.สารสนเทศต้องมีความกะทัดรัด
(Conciseness) หรือรัดกุม เหมาะสมกับผู้ใช้
6.กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด
(Economical) ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจมักจะต้องสร้างดุลยภาพ
ระหว่างคุณค่าของสารสนเทศกับราคาที่ใช้ในการผลิต
7.ต้องมีความยึดหยุ่น (Flexible)
สามารถในไปใช้ในหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์
8.สารสนเทศที่ดีต้องมีรูปแบบการนำเสนอ
(Presentation) ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
9.สารสนเทศที่ดีต้องตรงกับความต้องการ
(Relevant/Precision) ของผู้ที่ทำการตัดสินใจ
10.สารสนเทศที่ดีต้องมีความน่าเชื่อถือ
(Reliable) เช่น
เป็นสารสนเทศที่ได้มาจากกรรมวิธีรวบรวมที่น่าเชื่อ ถือ หรือแหล่ง (Source) ที่น่าเชื่อถือ เป็นต้น
11.สารสนเทศที่ดีควรมีความปลอดภัย
(Secure) ในการเข้าถึงของผู้ไม่มีสิทธิใช้สารสนเทศ
12.สารสนเทศที่ดีควรง่าย
(Simple) ไม่สลับซับซ้อน มีรายละเอียดที่เหมาะสม
(ไม่มากเกินความจำเป็น)
13.สารสนเทศที่ดีต้องมีความแตกต่าง
หรือประหลาด (Surprise) จากข้อมูลชนิดอื่น ๆ
14.สารสนเทศที่ดีต้องทันเวลา
(Just in Time : JIT) หรือทันต่อความต้องการ (Timely)
ของผู้ใช้ หรือสามารถส่ง ถึงผู้รับได้ในเวลาที่ผู้ใช้ต้องการ
15.สารสนเทศที่ดีต้องเป็นปัจจุบัน
(Up to Date) หรือมีความทันสมัย ใหม่อยู่เสมอ
มิเช่นนั้นจะไม่ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
16.สารสนเทศที่ดีต้องสามารถพิสูจน์ได้
(Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง
ได้ว่ามีความถูกต้อง
นอกจากนั้นสารสนเทศที่ดีต้องมีคุณลักษณะครบทั้ง
4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย) ด้านเนื้อหา
(ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเชื่อถือ ตรงกับ ความต้องการ และตรวจสอบได้)
ด้านรูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบการนำเสนอ ประหยัด แปลก) และด้าน
กระบวนการ (เข้าถึงได้ และปลอดภัย)
คุณภาพของสารสนเทศ (Quality of Information/Information Quality) จะมีคุณภาพสูงมาก
หรือน้อย พิจารณาที่ 3 ประเด็น ดังนี้ (Bentley 1998 :
58-59)
1. ตรงกับความต้องการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูว่าสารสนเทศนั้นผู้ใช้สามารถนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพได้
มากกว่าไม่ใช้สารสนเทศ หรือไม่ คุณภาพของสารสนเทศ
อาจจะดูที่มันมีผลกระทบต่อกิจกรรมของผู้ใช้ หรือไม่ อย่างไร
2. น่าเชื่อถือ (Reliable) เพียงใด
ความน่าเชื่อถือมีหัวข้อที่จะใช้พิจารณา เช่น ความทันเวลา (Timely) กับผู้ใช้ เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนั้น หรือไม่
สารสนเทศที่นำมาใช้ต้องมีความถูกต้อง (Accurate) สามารถพิสูจน์
(Verifiable) ได้ว่าเป็นความจริง
ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
3. สารสนเทศนั้นเข้มแข็ง (Robust) เพียงใด พิจารณาจากการที่สารสนเทศสามารถเคลื่อนตัวเองไปพร้อมกับ
กาลเวลาที่เปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์
(Human Frailty) เพราะมนุษย์
อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล
เพราะฉะนั้นจะต้องมีการควบคุม หรือตรวจสอบ ไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น คุณภาพของสารสนเทศจะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
การทันเวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรัด ตรงกับความต้องการ ความถูกต้อง ความเที่ยงตรง
(Precision) และรูปแบบที่เหมาะสม ในเรื่องเดียวกัน โอไบร์อัน
(O’Brien 2001 : 16-17) กล่าวว่าคุณภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน
3 มิติ ดังนี้
1. มิติด้านเวลา (Time Dimension) สารสนเทศควรจะมีการเตรียมไว้ให้ทันเวลา
(Timeliness) กับความต้องการของผู้ใช้สารสนเทศควรจะต้องมีความทันสมัย
หรือเป็นปัจจุบัน (Currency) สารสนเทศควรจะต้องมีความถี่ (Frequency)
หรือบ่อย เท่าที่ผู้ใช้ต้องการสารสนเทศควรมีเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลา
(Time Period) ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
2. มิติด้านเนื้อหา (Content
Dimension) ความถูกต้อง
ปราศจากข้อผิดพลาดตรงกับความต้องการใช้สารสนเทศสมบูรณ์
สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีในสารสนเทศกะทัดรัด เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้นครอบคลุม (Scope)
ทั้งด้านกว้างและด้านแคบ (ด้านลึก)
หรือมีจุดเน้นทั้งภายในและภายนอกมีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ที่แสดงให้เห็นได้จากการวัดค่าได้ การบ่งบอกถึงการพัฒนา
หรือสามารถเพิ่มพูนทรัพยากร
3. มิติด้านรูปแบบ (Form Dimension)
ชัดเจน ง่ายต่อการทำความเข้าใจมีทั้งแบบรายละเอียด (Detail) และแบบสรุปย่อ (Summary)มีการเรียบเรียง ตามลำดับ (Order)การนำเสนอ (Presentation) ที่หลากหลาย รูปแบบของสื่อ
(Media) ประเภทต่าง ๆ เช่น กระดาษ วีดิทัศน์ ฯลฯ
องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
การสื่อสารข้อมูล(datacommunication)คือการส่งผ่านข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ตั้งแต่2ตัวขึ้นไปซึ่งข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันนี้มีได้หลายรูปแบบ
ตัวอย่าง เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ หรือเสียง เป็นต้นเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ
การสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนกับการพูดระหว่างนักเรียนในกลุ่มหรือการโทรศัพท์คุยกัน
ข้อมูลในที่นี้คือบทสนทนาที่นักเรียนแปลกเปลี่ยนกันนั่นเอง
ปัจจัยสำคัญในการสื่อสารข้อมูล ประกอบด้วย
6 ปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้
1. ผู้ส่ง (sender หรือ sending
device) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เริ่มออกคำสั่งในการส่งข้อมูล ได้แก่
เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
2. ข้อมูลข่าวสาร (message) คือข้อมูลที่ผู้ส่งต้องการส่งไปยังผู้รับ
ซึ่งข้อมูลนี้อาจจะเป็นข้อความตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ หรือเสียง เป็นต้น
3. โพรโทคอล (protocol) คือข้อกำหนดมาตรฐาน
หรือข้อตกลงในเรื่องรูปแบบของข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้ส่งและผู้รับโพรโทคอลเปรียบเสมือนภาษาที่นักเรียนใช้ในการพูดคุยกัน
ถ้าเราใช้ภาษาไทยในการสนทนาเพื่อนทุกคนก็เข้าใจแต่ถ้านักเรียนใช้ภาษาอื่นที่เพื่อนไม่รู้จักจะทำให้เกิดความสับสนไม่สามารถสื่อสารกันได้
4. ช่องทางการสื่อสาร (communication
channel) คือช่องทาง หรือเส้นทางในการส่งข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ
อันได้แก่ สายโทรศัพท์ คลื่นวิทยุและสัญญาณดาวเทียม เป็นต้น
5. ตัวแปลงสัญญาณ (communication device) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงข้อมูลที่ต้องการส่งให้อยู่ในรูปของสัญญาณที่สามารถส่งผ่านช่องทางการสื่อสารที่จะใช้และแปลงสัญญาณที่ได้จากช่องทางการส่งข้อมูลเมื่อถึงปลายทาง
ให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้รับเข้าใจ
6. ผู้รับ (receiver หรือ receiving
device) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูล
ซึ่งอาจจะเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวกับผู้ส่งหรือไม่ก็ได้
อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาเวิร์กสเตชันหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
เป็นต้น
ลักษณะของวิธีการสื่อสาร
1. แบบมีสาย เช่น สายโทรศัพท์ เคเบิลใยแก้วนำแสง เป็นต้น
สื่อที่จัดอยู่ในการสื่อสารแบบมีสายที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่
- สายทองแดงแบบไม่หุ้มฉนวน (Unshield Twisted Pair) มีราคาถูกและ
นิยมใช้กันมากที่สุด ส่วนใหญ่มักใช้กับระบบโทรศัพท์
แต่สายแบบนี้มักจะถูกรบกวนได้ง่าย และไม่ค่อยทนทาน
- สายทองแดงแบบหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair) มีลักษณะเป็นสองเส้น
มีแนวแล้วบิดเป็นเกลียวเข้าด้วยกันเพื่อลดเสียงรบกวน มีฉนวนหุ้มรอบนอก มีราคาถูก
ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบาและการรบกวนทางไฟฟ้าต่ำ
สายโทรศัพท์จัดเป็นสายคู่บิดเกลียวแบบหุ้มฉนวน
- สาย Coaxial สายแบบนี้จะประกอบด้วยตัวนำที่ใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกเส้นหนึ่งเป็นสายดิน
ระหว่างตัวนำสองเส้นนี้จะมีฉนวน
พลาสติกกั้นสายโคแอคเชียลแบบหนาจะส่งข้อมูลได้ไกลกว่าแบบบางแต่มีราคาแพงและติดตั้งได้ยากกว่า
- ใยแก้วนำแสง (Optic Fiber) ทำจากแก้วหรือพลาสติกมีลักษณะเป็นเส้นบางๆคล้าย
เส้นใยแก้วจะทำตัวเป็นสื่อในการส่งแสงเลเซอร์ที่มีความเร็ว
ในการส่งสัญญาณเท่ากับความเร็วของแสง
2. แบบไม่มีสาย เช่น ไมโครเวฟ, ดาวเทียม , 3G ระบบ 3G
( UMTS ), Wireless X และ GPRS
- ไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณไมโครเวฟเป็นคลื่นวิทยุเดินทางเป็นเส้นตรง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการ
รับ – ส่ง คือ จานสัญญาณไมโครเวฟซึ่งมักจะต้องติดตั้งในที่สูง
และมักจะให้อยู่ห่างกัน ประมาณ 25 – 30 ไมล์
ข้อดีของการส่งสัญญาณด้วยระบบ ไมโครเวฟ ก็คือ สามารถส่งสัญญาณด้วยความถี่กว้างและการรบกวนจากภายนอกจะน้อยมากจนแทบไม่มีเลย
แต่ถ้าระหว่างจานสัญญาณไมโครเวฟมีสิ่งกีดขวางก็จะทำให้การส่งสัญญาณไม่ดีหรืออาจส่งสัญญาณไม่ได้
การส่งสัญญาณโดยใช้ระบบไมโครเวฟนี้จะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถจะติดตั้งสายเคเบิลได้
เช่น อยู่ในเขตป่าเขา
- ดาวเทียม (Satellite) มีลักษณะการส่งสัญญาณคล้ายไมโครเวฟ
แต่ต่างกันตรงที่ ดาวเทียมจะมีสถานี
รับ – ส่งสัญญาณลอยอยู่ในอวกาศ
จึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนโค้งของผิวโลกเหมือนไมโครเวฟ
ดาวเทียมจะทำหน้าที่ขยายและทบทวนสัญญาณให้แรงเพิ่มขึ้นก่อนส่งกลับมายังพื้นโลก
ข้อดีของการสื่อสารผ่านดาวเทียม
คือ
ส่งข้อมูลได้มากและมีความผิดพลาดน้อย ส่วนข้อเสีย คือ
อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม
หรือถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
- 3G ระบบ 3G (UMTS) คือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA
มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น
-Wireless X หรือระบบ Network แบบไร้สาย
ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารภายใต้มาตรฐาน IEEE 802.11ซึ่งอุปกรณ์ทุกตัว
ที่ต่างยี่ห้อกันนั้นจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ประสบปัญหา หากอุปกรณ์นั้นผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานก็จะมีการประทับตรา
Wi-Fi Certified ซึ่งหมายความว่า
อุปกรณ์ตัวนี้สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับ อุปกรณ์อื่นที่มีตรา Wi-Fi
Certified ได้ แล้วจึงกลายมาเป็นคำศัพท์ของอุปกรณ์ LAN ไร้สาย
- GPRS
- เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นบนเครือข่ายเดิมเพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว
และสะดวกยิ่งขึ้น
- เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบรวดเร็ว ซึ่งใช้ได้กับเครือข่ายระบบ GSM ช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้กับการติดตั้งและทำให้ระยะเวลาในการส่งข้อมูล
รวดเร็วยิ่งขึ้น
- เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้ Mobile Internet
ด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ท่านสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวก
และง่ายดาย ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่
-
นวัตกรรมใหม่ที่ทำให้การส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพด้วยความเร็วจากเดิมเพียงแค่ 9.6 Kbps เป็น 40 Kbpsช่วยให้ท่านสามารถเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต
ได้ภายในเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่
- การส่งข้อมูลแบบใหม่ในรูปแบบของมัลติมีเดีย
ซึ่งจะประกอบไปด้วยรูปภาพที่เป็นกราฟิก เสียงและวิดีโอ เช่นการใช้ Video Conference
รูปแบบของการส่งสัญญาณข้อมูล
1. แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One – way หรือ Simplex) เป็นการส่งข้อมูลในทิศทางเดียว
คือข้อมูลถูกส่งไปในทางเดียว เช่น สถานีวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพทางโทรทัศน์
2. แบบกึ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Half – Duplex) เป็นการส่งข้อมูลแบบสลับการส่งและรับข้อมูลไปมา จะทำในเวลาเดียวกันไม่ได้
เช่น การใช้วิทยุสื่อสาร
คือจะต้องสลับกันพูดเพราะจะต้องกดปุ่มก่อนแล้วจึงจะสามารถพูดได้
3.
แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Full – Duplex) เป็นการส่งข้อมูลแบบที่สามารถส่ง และรับข้อมูลได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน
ซึ่งวิธีนี้ทำให้การทำงานเร็วขึ้นมาก เช่นการพูดโทรศัพท์
ประโยชน์ของสารสนเทศ
1. ให้ความรู้ทำให้เกิดความคิดและความเข้าใจ
2. ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
3. ใช้ประกอบการตัดสินใจ
4. ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
5. เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ ลดความซ้ำซ้อน
การรู้สารสนเทศ (Information literacy)
ความหมาย
การรู้สารสนเทศ (Information literacy) หมายถึง
ความรู้ความสามารถและทักษะของบุคคลในการเข้าถึงสารสนเทศ
ประเมินสารสนเทศที่ค้นมาได้ และใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพทุกรูปแบบ ผู้รู้สารสนเทศจะต้องมีทักษะในด้านต่างๆ
เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์และ / หรือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการใช้ภาษา
ทักษะการใช้ห้องสมุด ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ความสำคัญ
การรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อความสำเร็จของบุคคลในด้านต่างๆ ดังนี้
1. การศึกษา
2. การดำรงชีวิตประจำวัน
3. การประกอบอาชีพ
4. สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
องค์ประกอบของการรู้สารสนเทศ
การรู้สารสนเทศเป็นทั้งความรู้ ความสามารถ ทักษะ
และกระบวนการอันเป็นประโยชน์ในการพัฒนา การเรียนรู้ทุกรูปแบบ
สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (American Library Association. 2005 : Online) ได้กำหนดองค์ประกอบของการรู้สารสนเทศไว้
4 ประการ คือ
1.
ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ
ผู้เรียนจะต้องกำหนดเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้า กำหนดความต้องการสารสนเทศ
ระบุชนิดและรูปแบบที่หลากหลายของแหล่งสารสนเทศที่จะศึกษา เช่น ห้องสมุด
ศูนย์สารสนเทศ พิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ บุคคล สถานที่ อินเตอร์เนต เป็นต้น
2. การเข้าถึงสารสนเทศ ผู้เรียนสามารถเลือกวิธีการค้นคืนสารสนเทศที่เหมาะสม
กำหนดกลยุทธ์การค้นคืนอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถค้นคืนสารสนเทศออนไลน์หรือสารสนเทศจากบุคคลโดยใช้วิธีการที่หลากหลายสามารถปรับกลยุทธ์การค้นคืนที่เหมาะสมตามความจำเป็น
รวมถึงการตัดตอน บันทึก และการจัดการสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศ
3. การประเมินสารสนเทศ ผู้เรียนสามารถสรุปแนวคิดสำคัญจากสารสนเทศที่รวบรวม
โดยใช้เกณฑ์การประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศ ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ
ความเที่ยงตรง ความถูกต้อง และความทันสมัย
สามารถสังเคราะห์แนวคิดหลักเพื่อสร้างแนวคิดใหม่
เปรียบเทียบความรู้ใหม่กับความรู้เดิมเพื่อพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่เพิ่มขึ้น
อะไรคือสิ่งที่ขัดแย้งกัน และอะไรคือสิ่งที่คล้อยตามกัน
4. ความสามารถในการใช้สารสนเทศที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เรียนสามารถใช้สารสนเทศใหม่ผนวกกับสารสนเทศที่มีอยู่ในการวางแผนและสร้างผลงาน
หรือการกระทำตามหัวข้อที่กำหนดทบทวนกระบวนการ พัฒนาการผลิตผลงานของตนเอง
และสามารถสื่อสารหรือเผยแพร่ผลงานของตนเองต่อบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากความสามารถดังกล่าวแล้ว
ผู้เรียนควรมีคุณสมบัติในด้านอื่นๆ ประกอบอีก ได้แก่
1. การรู้ห้องสมุด (Library literacy)
2. การรู้คอมพิวเตอร์ (Computer Literacy)
3. การรู้เครือข่าย (Network Literacy)
4. การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (Visual Literacy)
5. การรู้สื่อ (Media
Literacy)
6. การรู้สารสนเทศดิจิทัล (Digital Literacy)
7. การมีความรู้ด้านภาษา (Language Literacy)
8. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking)
9. การมีจริยธรรมทางสารสนเทศ (Information
Ethic)
ทักษะการรู้สารสนเทศ (Information Literacy Skill)
ทักษะการรู้สารสนเทศ หมายถึง
ทักษะความสามารถในการตระหนักถึงความสำคัญของสารสนเทศ สามารถนำ
ความต้องการสารสนเทศไปสร้างคำถามที่ตอบสนองความต้องการสารสนเทศได้ รวมทั้งสามารถ
บูรณาการความรู้ใหม่กับองค์ความรู้เดิมได้ และประยุกต์ใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
เป็นอย่างดี จากที่กล่าวมา ดังนั้นทักษะการรู้สารสนเทศ มี 5 ทักษะ ดังนี้
ทักษะที่ 1
การกำหนดความต้องการสารสนเทศหรือเข้าใจปัญหาของตนเอง หมายถึง ความสามารถในการกำหนดคำถามปัญหาและหัวข้อสำคัญที่เกี่ยวข้อง
ทักษะที่ 2
การใช้แหล่งและทรัพยากรสารสนเทศ หมายถึง ความสามารถในการใช้แหล่งและทรัพยากรสารสนเทศ
ทักษะที่ 3 การสืบค้นสารสนเทศ
หมายถึงความสามารถในการใช้ฐานข้อมูล รายการบรรณานุกรมทรัพยากร สารสนเทศ
ทักษะที่ 4 การประเมินสารสนเทศ หมายถึง
ความสามารถในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งทรัพยากรสารสนเทศ เช่น ผู้แต่ง ความถูกต้อง ความทันสมัย
ทักษะที่ 5 การวิเคราะห์ สังเคราะห์
และการเขียนรายงาน หมายถึง
ความสามารถในการวิเคราะห์และการสังเคราะห์เนื้อหาของสารสนเทศเพื่อนำเสนอ การอ้างอิงและการเขียนบรรณานุกรมได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น